วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

Chapter 11 Computer Security and Safety, Ethics, and Privacy

 
Chapter 11 Computer Security and Safety, Ethics, and Privacy

     Internet นั้นก็เหมือนกับโลกจำลองที่มีบุคคลต่างอยู่อย่างมากมาย ในนั้นก็มีตั้งแต่ร้านหนังสือ,ร้านอาหาร,โรงหนัง โรงภาพยนตร์,สวนสนุกแหล่งให้ความบันเทิงอย่างครบครัน ในเมื่อ Internetเป็นสังคมที่มีกลุ่มบุคคลขนาดใหญ่เหมือนกับสังคมในโลกของความเป็น จริงแน่นอนว่ามันจะต้องมีทั้งคนที่ดีและก็ไม่ดีปะปนกันอยู่ทั่วๆไป ที่คอยจ้องจะแย่งชิงทรัพย์สินและทรัพยากรที่เราพึ่งจะมีออกไปหรือแม้แต่จะ ใช้เราเป็นเครื่องมือในการก่อการร้ายต่างๆท่านอยากจะป้องกันตัวเองจากคน กลุ่มนี้หรือว่าจะอยากให้บุคคลที่ไม่พึ่งประสงค์เหล่านี้เข้ามาโจมตีท่านได้

     Firewall คือ โปรแกรมหรือ hardware ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อควบคุมการเข้าออกของโปรแกรมต่างๆโดยมีพื้นฐานมา จากการที่ตัว firewallจะทำการอ่านข่าวสารต่างๆที่ไหลผ่านเข้ามาในเครื่องทั้งขาเข้าและขา ออกโดยจะนำข่าวสารต่างๆ (packet) ไปเปรียบเทียบกับกฎที่เราได้ตั้งเอาไว้ (rule) และจำทำการตัดสินใจว่าจะทำการ ปฏิเสธ (deny) หรือว่า อนุญาต (allow) โดยปกติ firewallจะอยู่ระหว่างเครื่อง computerของเรากับเครื่อง computer ของคนอื่นๆไม่วาจะเป็นในเครือข่ายหรือ internet ก็ตาม Firewall นั้นแต่เดิมมีความหมายคือเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการป้องกันไม่ให้ไฟ ลามจึงเป็นที่มาของfirewallในเครื่อง computer ที่มีลักษณะคลายๆกันนั้นก็คือป้องกัน computer จากภัยอันตรายต่างๆนั้นเอง

       Proxy server เป็นผู้ให้บริการในการรับคำขอร้องของเครื่อง client ไม่ว่าจะเป็นการ เปิดหน้า web page,การ upload–download หรือว่าการให้บริการต่างๆ ฯลฯ แล้วเครื่อง proxy server ก็จะส่งคำขอร้องของเครื่อง client ไปยัง server อื่นๆต่อไป ดังนั้น Proxy server จึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเครื่องclient (user) กับจุดหมายปลายทางใน internet ในการทำงานเป็นตัวกลางของ proxy server นี้เองเราสามารถนำตัว proxy server มาใช้เป็นเครื่องมือในการพรางตัวของเราได้เพราะว่า proxy server จะเป็นนายหน้าในการออกไปรับส่งข้อมูลแทนเครื่อง client ทำให้ IP ที่ server เก็บไปนั้นจะเป็นของ proxyทำให้เราได้รับความปลอดภัยในการท่อง internet อีกเป็นเท่าตัวตามปกติแล้วในเมื่อ Proxy ไปเรียกข้อมูลจากที่ใดๆมาก็ตามตัว Proxy นั้นจะเก็บข้อมูลเอาไว้บน server ซึ่งข้อมูลในส่วนนั้นจะถูกเรียกว่า “cache” และถ้าเกิดว่ามีเครื่องอื่นๆมาขอข้อมูลเดียวกันมาอีกทาง proxy ก็จะทำการส่งข้อมูล นั้นไปหาเครื่องที่ขอร้องได้โดยที่ไม่ต้องติดต่อไปยังที่อื่นๆอีกต่อไปทำให้ปริมาณการรับส่งข้อมูลลดลง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความรวดเร็วใน การรับส่งข้อมูลของเครื่องclient อีกทางหนึ่ง ข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งของ Proxy ก็คือ proxy free ใช้งานได้นั้นหาได้ยากยิ่ง และที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือ proxy free ที่มีการปกปิด Ipให้ (anonymous proxy) ทางที่ดีเราควรขอ proxy จากทางผู้ให้บริการ internet ของเราจะดีกว่าเพราะสามารถใช้ได้จริงและปกปิดIp ได้ดีพอสมควร

       Intrusion detection system (IDS) คือ software หรือ hardware ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ตรวจสอบการเชื่อมต่อที่ไม่พึงประสงค์ หรือความพยายามที่จะเข้ามาทำอันตรายต่อเครือข่าย โดยผ่านระบบต่างๆเช่น Internet, Lan เป็นต้น โดยการโจมตีนั้นอาจจะเกิดจาก cracker, Worm หรือ Malware ต่างๆและข้อจำกัดของ Intrusion detection system (IDS) นั้นก็คือไม่สามารถที่จะรวจสอบ Packet ที่เข้ารหัสได้องค์ประกอบของ Ids นั้นมีหลายหลายส่วนแต่ส่วนประกอบของ

Intrusion detection system (IDS) ที่สำคัญนั้นมีอยู่สามส่วนได้แก่

1. Sensor คือส่วนที่จะสร้างหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยขึ้นมา
2. Console คือส่วนที่จะตรวจจับเหตุการณ์ต่าง, แจ้งเตือน รวมไปถึงการควบคุม Sensor
3. Engine เป็นส่วน ที่จะบันทึกเหตุการณ์จาก sensor ลงใน Database และจะแจ้งเตือนตามกฎที่ได้ตั้งเอาไว้ใน IDS

คำศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่อง IDS
Alert/Alarm คือการแจ้งเตือนเมื่อระบบถูกโจมตี
True attack stimulus คือเหตุการณ์ที่กระตุ้นให้ IDS เกิดการแจ้งเตือนเมื่อเกิดการโจมตีขึ้นจริง
False attack stimulus คือเหตุการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดการแจ้งเตือนเมื่อไม่มีการโจมตีขึ้นจริง
False (False Positive) การแจ้งเตือนเมื่อไม่เกิดการโจมตีขึ้นจริง
False negative คือการที่ไม่แจ้งเตือนเมื่อเกิดการโจมตีขึ้นจริง
Noise คือสิ่งรบกวนที่สามารถทำให้เกิดการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดขึ้นได้
Alarm filtering คือการดำเนินการแยกการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดออกจากการโจมตีจริงเพื่อให้การแจ้งเตือนมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

      โปรแกรมฆ่าไวรัส  นั้น เป็น Software ชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาใช้ในการป้องกันหรือกำจัดโปรแกรมที่เป็นอันตรายหรือ เพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีไม่ให้มาทำอันตรายต่อเครื่องของเราได้โดยทั่วไป นั้นโปรแกรมฆ่าไวรัสนั้นมีอยู่หลากหลายบริษัทเป็นอย่างมากแต่โปรแกรมฆ่า ไวรัสที่ดีนั้นนั้นต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ

1. ไม่กินทรัพยากรของเครื่องที่ใช้มากจนเกิดไป
2. มีรายชื่อของไวรัสหรือฐานข้อมูลของไวรัสคลอบคลุมหลากหลายสายพันธุ์
3. สามารถกำจัดไวรัสได้อย่างรวดเร็วและสามารถซ่อมแซม registry ที่ไวรัสได้สร้างความเสียหากไว้ให้ได้
 
       นี่เป็นคุณสมบัติหลักๆที่โปรแกรมฆ่าไวรัสนั้นต้องมีกัน ถ้ามีคุณสมบัติครบ 3 ข้อก็เป็นโปรแกรมที่มีคุณภาพดีพอสมควรแต่ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ไม่ควรที่จะลงโปรแกรมพวกนี้พร้อมกันที่เดียวมากกว่า 1 โปรแกรมเพราะจะทำให้เครื่อง Computer ของท่านทำงานได้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดและทางที่ดีเราก็ควรที่จะ update โปรแกรมฆ่าไวรัส อยู่อย่างสม่ำเสมอเพราะว่าทุกวันนี้มีไวรัสเกิดขึ้นมาใหม่ๆในทุกๆวันสิ่งที่ ป้องกันเราได้นั้นไม่ใช้ antivirus ที่มีคุณสมบัติที่ดีเพียงอย่างเดียวแต่ต้องรวมไปถึงความรู้ความเข้าใจใน เรื่องของการป้องกันภัยทาง internet นั้นเอง

ตัวอย่างโปรแกรมฆ่าไวรัสที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
Kasperskyantivirus
Bitdefender antivirus
Nod32 antivirus
Norton antivirus
Mcafee antivirus
F-Secure Anti-Virus
 
       IPS (Intrusion Prevention System) ระบบตรวจสอบและตอบโต้การบุกรุก IPS (Intrusion Prevention System) คือ Software หรือ hardware ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ตรวจสอบการบุกรุกโดยจะทำงานคล้ายๆกับ IDS แต่จะมีคุณสมบัติพิเศษในการจู่โจมกลับหรือหยุดยั้งผู้บุกรุกได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นต้นอาศัยโปรแกรมหรือ hardware ตัวอื่นๆIPS นั้นจะจู่โจมผู้โจมตีโดยการส่งสัญญาน TCP Reset โต้ตอบกลับไปหรือจะสั่งการ firewall เพื่อปรับเปลี่ยนกฎบางข้อเพื่อป้องกัน Packet อันตรายไม่ให้เข้ามาในเครื่อข่าย การทำงานของ IPS นั้นจะใช้หลักการ Inline คือจะนำ IPS เข้าไปวางไว้ขั้นกลางการส่งข้อมูล(โดยทั่วไปจะวางไว้หลัง firewall) โดยจะไม่มีการกำหนด IP address เอาไว้เพื่อป้องกันการโจมตี (front end) ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดข้อเสียตรงที่ว่าถ้า IPS เกิดมีปัญหาหรือ Block Packet ผิดพลาดอาจส่งผลต่อการทำงานได้ (IPS ที่ได้อธิบายไปนั้นเป็น IPS ชนิด NIPS)

การแบ่งประเภทของ IPS สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ

1. Network Based Intrusion Prevention System (NIPS)
2. Host Based Intrusion Prevention System (HIPS)

Network Based Intrusion Prevention System (NIDS) คือ IPS
ที่ได้รับการติดตั้งไว้ที่ส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายเพื่อป้องกันการบุกรุก

Host Based Intrusion Prevention System (HIDS) คือ Software ที่ติดตั้งเข้าไป
ที่เครื่อง Server เพื่อป้องกันการบุกรุกหรือการโจมตีต่างๆ ตัวอย่างของโปรแกรมประเภทนี้ก็คือ Antivirus, AntiSpyware เป็นต้น

Chapter 7 Storage

 
Chapter 7 Storage
 
ฮาร์ดดิส์ (Harddisk)
 
      ฮาร์ดดิคส์ เรียกอีกอย่างว่า Fix Disk เป็นสื่อบันทึกข้อมูลประเภทหนึ่ง (Storage Device) ปัจจุบันเป็นอุปกรณ์ ที่จำเป็น และ เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ใช้ในการติดตั้งระบบปฏิบัติการลงโปรแกรม ประยุกต์และ เก็บข้อมูลของผู้ใช้ เนื่องจากโปรแกรม หรือข้อมูลในปัจจุบันมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถที่จะเก็บ ลงในแผ่นดิสเก็ต ได้หมด ฮาร์ดดิสค์ จะบรรจุอยู่ในกล่องโลหะปิดสนิท เพื่อป้องสิ่งสกปรกหลุดเข้าไปภายใน ซึ่งถ้าต้อง การเปิดออกจะต้อง เปิดในห้องเรียก clean room ที่มีการกรองฝุ่นละออกจากอากาศเข้าไปในห้อง ออกแล้ว ฮาร์ดดิสค์ ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เป็นแบบติดภายในเครื่องไม่ เคลื่อนย้ายเหมือนแผ่นดิสเก็ต ดิสค์ประเภทนี้อาจเรียกว่า ดิสค์วินเชสเตอร ์(Winchester Disk)

หน่วยความจำ (Memory)
 
 Read-Only Memory (ROM) หน่วยความจำอ่านอย่างเดียว (รอม)
     หน่วย ความจำหลักของคอมพิวเตอร์สำหรับเก็บคำสั่งไว้อย่างถาวรและยังคงมีคำสั่ง เหล่านี้เก็บอยู่  ถึงแม้ไฟจะดับหรือปิดเครื่องแล้วก็ตาม รอมจะบรรจุโปรแกรมระบบที่สำคัญไว้โดยที่เราหรือคอมพิวเตอร์เองก็ไม่สามารถลบ ทิ้งได้ทั้งนี้เพราะเป็นชิปที่ผู้ผลิตได้บรรจุคำสั่งไว้อย่างถาวร เนื่องจากหน่วยความจำภายในของคอมพิวเตอร์จะว่างเปล่า เมื่อมีการเปิดเครื่อง จึงทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานใดๆ ได้ถ้าไม่ให้คำสั่งในการเริ่มต้น ซึ่งคำสั่งเหล่านี้จะถูกเก็บอยู่ในรอมนั่นเอง

Random-Access Memory (RAM) หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม (แรม)
     หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า แรม เป็นหน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บคำสั่งและข้อมูล เพื่อสามารถเข้าถึงโดยตรงในการควบคุมการทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง โดยผ่านทางบัสข้อมูลภายนอกความเร็วสูง ชื่อแรมมักจะเรียกว่าหน่วยความจำอ่าน/บันทึกเพื่อเป็นการแบ่งแยกจากหน่วย ความจำอ่านอย่างเดียวหรือรอม (ROM) ซึ่งเป็นส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่งของหน่วยเก็บหลัก (primary storage) ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในแรมนี้เองที่หน่วยประมวลผลกลางสามารถบันทึกและอ่านข้อมูล โปรแกรมส่วนมากจะจัดส่วนของแรมไว้ต่างหากเพื่อเป็นเนื้อที่ทำงานชั่วคราว สำหรับข้อมูลของเรา เพื่อที่เราจะสามารถบันทึกทับใหม่ได้เท่าที่ต้องการจนกว่าข้อมูลนั้นจะถูกนำ ไปพิมพ์หรือเก็บในหน่วยเก็บรอง (secondary storage) เช่น จานบันทึกแบบแข็งหรือแผ่นบันทึก ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในแรมจะหายไปได้เมื่อมีการปิดเครื่องหรือเมื่อกระแสไฟดับ ดังนั้นเราจึงต้องเก็บบันทึกงานที่ทำอยู่ตลอดเวลาและก่อนที่จะปิดเครื่อง คอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล

Compact Disc (CD) แผ่นซีดี (ซีดี)
       แผ่นพลาสติกกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.75 นิ้ว (12 เซ็นติเมตร) ที่บันทึกและอ่านข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ บันทึกข้อมูลด้วยสัญญาณดิจิทัลในรูปแบบซีแอลวี (CLV) แผ่นซีดีเป็นมาตรฐานที่พัฒนาร่วมกันโดยบริษัทโซนี และบริษัทฟิลิปส์ มีการประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1980 และจัดอยู่ในมาตรฐานเรดบุ๊ก (Red Book)

ซีดี (CD)
ซี ดีเสียง หรือ ซีดีเพลง หรือ ออดิโอซีดี (audio CD) เก็บสัญญาณเสียงในรูปแบบที่เป็นไปตามมาตรฐานเรดบุ๊ค (red book) ซีดีเสียงประกอบด้วยแทร็คสเตอริโอหลายแทร็ค ที่เก็บโดยการเข้ารหัสแบบ PCM ขนาด 16 บิตด้วยอัตราการสุ่มตัวอย่าง 44.1 kHz
คอมแพค ดิสค์มาตรฐานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 120 มิลลิเมตร แต่มีรุ่นขนาด 80 มิลลิเมตรอยู่ในรูปการ์ดขนาดเท่านามบัตรหรือเป็นรูปวงกลม แผ่นดิสค์ขนาด 120 มิลลิเมตร สามารถบันทึกเสียงได้ 74 นาที แต่มีรุ่นที่สามารถบันทึก 80 หรือ 90 นาทีด้วย แผ่นดิสค์ขนาด 80 มิลลิเมตร ใช้เป็นแผ่นซีดีซิงเกิล หรือใช้เป็นนามบัตรประชาสัมพันธ์ เก็บเสียงใช้เพียงแค่ 20 นาที

ดีวีดี (DVD; Digital Video Disc)
เป็น แผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc) ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน (เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่าเดิมที ดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี (DVD Writer) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี

FLASH MEMORY CARD
1. CompactFlash Card
      เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยผู้ริเริ่มก็คือ Sandisk Corp. ผลิตครั้งแรกในเดือนตุลาคม ค.ศ.
1994 มีน้ำหนักเพียงครึ่งออนซ์ และมีขนาดเท่ากับกล่องไม้ขีดขนาด 43 mm(1.7”)x(0.13”) เท่านั้น โดยด้านหนึ่งจะเป็นช่องสำหรับเชื่อมต่อกับตัวอ่านข้อมูลโดยจะมีช่องพินถึง 50 พินด้วยกัน ทำให้ง่ายต่อการปรับใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กอื่นๆ การเก็บข้อมูลลักษณะนี้จะให้ความคงทนของข้อมูลค่อนข้างมาก เพราะข้อมูลถูกเก็บในการ์ดทนแรงกระแทกได้มากถึง 10 ฟุตและยังบันทึกข้อมูลได้ยาวนานถึง 100 ปีอีก ด้วยสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ที่มีช่อง PCMCIA 68 pin เช่น โน๊ตบุ๊ก ได้โดยใช้คู่กับ PC Card Adapter เพื่อแปลงข้อมูลจาก CompactFlash Card ให้เป็น PCMCIA Card ก่อนเท่านั้นความจุอยู่ที่ 8-512 MB และ 1 GB กล้องดิจิตอลที่สามารถใช้ CompactFlash Card ได้มีหลายยี่ห้อเช่น Nikon, Kodak, Canon,Casio เป็นต้น

2. Ultra CompactFlash Card
      เป็นสื่อที่กำลังมาแรงขณะนี้ เป็นการ์ดที่พัฒนามาจาก Compac tFlashCard โดยมีความเร็วในการโอน ถ่ายข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นถึง 2 เท่าคือ 2.8 Mbps. สำหรับการบันทึกขั้นละ 60 Mbps.สำหรับการอ่านวิธีการและอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมก็จะเป็นประเภทเดียวกับ CompactFlash Card แต่ Ultra CompactFlash Card ผลิตมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีของกล้องดิจิตอลในปัจจุบันที่มีการพัฒนาให้มี ความละเอียดของภาพได้มากขึ้นทำให้ภาพมีความคมชัดเหมือนจริงมากขึ้น แต่เนื่องจากกล้องที่มีความละเอียดของภาพสูงนั้นจะใช้เวลาในการโอนถ่าย ข้อมูลภาพนานเช่นกัน Ultra CompactFlash Card เหมาะสำหรับกล้องดิจิตอลที่มีขนาด 3 ล้านพิกเซลขึ้นไป มีขนาดตั้งแต่ 128 – 512 MB

3. SmartMedia Card
   การ์ดประเภทนี้มีจุดเด่นที่ขนาดเล็กและบางเฉียบ ขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของบัตรเครดิตมีความบางเพียง 0.76 มิลลิเมตรเท่านั้นหนักเพียง 2 กรัมมีข้อควรระวังนิดหน่อยตรงที่แผ่นสีทองที่เป็นตัวเก็บข้อมูลนั้นอยู่ที่ ด้านนอกของการ์ดต้องระวังเรื่องการขูดขีดแผ่นสีทองบนการ์ดเพราะนั่นอาจทำให้ การ์ดของคุณเพราะเวลาซื้อ SmartMedia Card จะมีกล่องใส่การ์ดให้ไปด้วย ขนาดความจุอยู่ที่ 8 – 256 MB กล้องดิจิตอลที่สามารถใช้ SmartMedia Card ได้นั้นมีหลายยี่ห้อ เช่น Fuji,Toshiba, Olympus เป็นต้น

4. MulitMedia Card
      เป็นการ์ดที่มีขนาดเล็กมาก โดยมีขนาดเท่ากับแสตมป์เท่านั้นเหมาะสมกับการใช้งานที่ต้องพกพาไป
ตาม ที่ต่างๆ ด้วย MultiMedia Card มีขนาดเล็กจึงเหมาะกับอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายไปตามที่ต่างๆได้ สะดวก เช่น โทรศัพท์มือถือ,เครื่อง MP3,ปาล์ม,Digital Camcorders เป็นต้น ข้อได้เปรียบของ MultiMedia Card คือ สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ที่มีสล๊อต Secure Digital Card ได้ขนาดความจุอยู่ที่ 8 – 128 MB

5. Secure Digital Card (SD Card)
      เป็นการ์ดที่พัฒนามาจาก MultiMedia Card เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือกันระหว่าง 3 บริษัทชั้นนำ ในธุรกิจสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ได้แก่ Sandisk Corp. ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี Flash Card, Toshiba Corp. และ Panasonic โดยมีการเพิ่มคุณสมบัติความสามารถของการ์ดให้มากขึ้นได้แก่ การเพิ่มอัตราความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลได้เร็วขึ้นถึง 10 MB/sec (มากกว่า MultiMedia Card ถึง 5 เท่า) และมีการเพิ่มเติมในส่วนของการป้องกันการ Copy ข้อมูลซ้ำ มีขนาดความจุอยู่ที่ 8 – 256 MB

6. Memory Stick
ได้รับการพัฒนาโดย Sony มีขนาดเท่ากับแผ่นหมากฝรั่งมีน้ำหนัก 4 กรัมอุปกรณ์ที่ใช้ Memory Stick เช่น กล้องดิจิตอล, กล้องวีดีโอ, เครื่องคอมพิวเตอร์, เครื่อง MP3 เป็นต้น แต่ต้องเป็นยี่ห้อ Sony เท่านั้น เดิมที Memory Stick มีของยี่ห้อ Sony เท่านั้น ทำให้ Memory Stick ราคาค่อนข้างสูงแต่ปัจจุบันโซนี่ได้จับมือกับ Sandisk Corp. ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี Flash Card พัฒนาและผลิต Memory Stick ได้อีกยี่ห้อหนึ่งดังนั้น Memory Stick จึงไม่ได้มีเพียง Sony เท่านั้นแต่ยังมี Sandisk ยักษ์ใหญ่แห่งวงการ Flash Card อีกด้วย นับเป็นทางเลือกให้ลูกค้าเป็นอย่างดี

Chapter 5 Input



Chapter 5 Input

หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้


อุปกรณ์แบบกด (Keyed Device)
แป้นพิมพ์ (Keyboard)
       เป็นหน่วยรับข้อมูลที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในการป้อนข้อมูลสำหรับเทอร์มินอล และไมโครคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายกับแป้นพิมพ์ดีด แต่มีจำนวนแป้นมากกว่า และถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกันคือ
- แป้นอักขระ (Charater Keys) มีลักษณะการจัดวางตัวอักษรเหมือนแป้นบนเครื่องพิมพ์ดีด
- แป้นควบคุม (Control Keys) เป็นแป้นที่มีหน้าที่สั่งการบางอย่างโดยใช้งานร่วมกับแป้นอื่น
- แป้นฟังก์ชั่น (Function Keys) คือแป้นที่อยู่แถวบนสุด มีสัญลักษณ์เป็น F1..F12 ซอฟต์แวร์แต่ละชนิดอาจกำหนดแป้นเหล่านี้ให้มีหน้าที่เฉพาะอย่างแตกต่างกันไป
- แป้นตัวเลข (Numeric Keys) เป็นแป้นที่แยกจากแป้นอักขระมาอยู่ทางด้านขวา มีลักษณะคล้ายเครื่องคิดเลข ช่วยอำนวยความสะดวกในการบันทึกตัวเลขเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
       นอก จากนี้ ยังมีแป้นพิมพ์บางประเภทที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะด้าน เช่น แป้นพิมพ์ที่ใช้ในร้านอาหารแบบเร่งด่วน (fast food restaurant) จะใช้พิมพ์เฉพาะชื่ออาหาร หรือแป้นพิมพ์ที่ใช้กับเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ (Automatic Trller Machine) เป็นต้น

อุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง (Pointing Devices)
เมาส์ (Mouse)
        มีหลายขนาดและมีรูปร่างแตกต่างกันไป ที่นิยมใช้มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ มีลูกกลมกลิ้งอยู่ด้านล่าง ส่วนด้านบนจะมีปุ่มให้กดจำนวนสอง สาม หรือสี่ปุ่ม แต่ที่นิยมใช้กันมากคือสองปุ่ม ใช้ส่งข้อมูลเข้าสู่หน่วยความจำหลักโดยการเลื่อนเมาส์ให้ลูกกลมด้านล่างหมุน เพื่อเป็นการเลื่อน ตัวชี้ตำแหน่ง (cursor) บนจอภาพไปยังตำแหน่งที่ต้องการบนจอภาพ ทำให้การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทำให้รวดเร็วกว่าแป้น พิมพ์ ผู้ใช้อาจใช้เมาส์วาดรูป เลือกทางเลือกจากเมนู และเปลี่ยนแปลงหรือย้ายข้อความ เมาส์ยังไม่สามารถใช้ในการป้อนตัวอักษรได้ จึงยังคงต้องใช้คู่กับแป้นพิมพ์ในกรณีที่มีการพิมพ์ตัวอักษร แต่สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้คอมพิวเตอร์ การใช้เมาส์เพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยกว่าการใช้แป้นพิมพ์

ลูกกลมควบคุม(Track ball),แท่งชี้ควบคุม(Track point),แผ่นรองสัมผัส (Touch pad)
    อุปกรณ์ทั้งสามแบบนี้มักพบในเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาเพื่อทำหน้าที่แทน เมาส์ เนื่องจากสามารถติดไว้กับตัวเครื่องได้เลย ทำให้พกพาได้สะดวกกว่า และใช้เนื้อที่ในการทำงานน้อยกว่าเมาส์ อุปกรณ์ทั้งสามแบบจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ

1. ลูกกลมควบคุม จะเป็นลูกบอลเล็ก ๆ ซึ่งอาจวางอยู่หน้าจอภาพในเนื้อที่ของแป้นพิมพ์ หรือเป็นอุปกรณ์ต่างหากเช่นเดียวกับเมาส์ เมื่อผู้ใช้หมุนลูกบอลก็จะเป็นการเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มีหลักการทำงานเช่นเดียวกับเมาส์
2. แท่งชี้ควบคุม จะเป็นแท่งพลาสติกเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางแป้นพิมพ์ บังคับโดยใช้นิ้วหัวแม่มือเพื่อเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพเช่น เดียวกับเมาส์
3. แผ่นรองสัมผัส จะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมที่วางอยู่หน้าแป้นพิมพ์ สามารถใช้นิ้ววาดเพื่อเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพเช่นเดียวกับ เมาส์

จอยสติก (Joystick)
     จอยสติก จะเป็นก้านสำหรับใช้โยกขึ้นลง / ซ้ายขวา เพื่อย้ายตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ มีหลักการทำงานเช่นเดียวกับเมาส์ แต่จะมีแป้นกดเพิ่มเติมมาจำนวนหนึ่งสำหรับสั่งงานพิเศษ นิยมใช้กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์หรือควบคุมหุ่นยนต์
 
จอภาพระบบไวต่อการสัมผัส (Touch-Sensitive Screen)
จอภาพระบบสัมผัส (Touch Screen)
      เป็นจอภาพแบบพิเศษซึ่งผู้ใช้เพียงแตะปลายนิ้วลงบนจอภาพในตำแหน่งที่กำหนดไว้ เพื่อเลือกการทำงานที่ต้องการ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จะเป็นตัวค้นหาว่าผู้ใช้เลือกทางเลือกทางใด และทำงานให้ตามนั้น หลักการนี้นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยให้ผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่คล่องนักสามารถเลือกข้อมูลที่ ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว จะพบการใช้งานมากในร้านอาหารแบบเร่งด่วน หรือใช้แสดงข้อมูลการท่องเที่ยว เป็นต้น

ระบบปากกา (Pen-Based System)
ปากกาแสง (Light pen)
    ใช้เซลล์แบบซึ่งมีความไวต่อแสงเป็นตัวกำหนดตำแหน่งบนจอภาพ รวมทั้งสามารถใช้วาดลักษณะหรือรูปแบบของข้อมูลให้ปรากฏบนจอภาพ การใช้งานทำได้โดยการแตะปากกาแสงไปบนจอภาพตามตำแหน่งที่ต้องการ นิยมใช้กับงานคอมพิวเตอร์ช่วยการออกแบบ (CAD หรือ Computer Aided Design ) รวมทั้งนิยมให้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลโดยการเขียนด้วยมือในคอมพิวเตอร์ขนาด เล็ก เช่น PDA เป็นต้น
 
เครื่องอ่านพิกัด (Digitizing tablet)
      ประกอบด้วยกระดาษที่มี เส้นแบ่ง (Grid) ซึ่งสามารถใช้ปากกาเฉพาะที่เรียกว่า stylus ชี้ไปบนกระดาษนั้น เพื่อส่งข้อมูลตำแหน่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ ปรากฏเป็นลายเส้นบนจอภาพ เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กับงานด้าน CAD เช่น ใช้ในการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ ตึกอาคาร อุปกรณ์ทางการแพทย์ และหุ่นยนต์ เป็นต้น
 
อุปกรณ์กวาดข้อมูล (Data Scanning Devices)
      เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ ระบบวิเคราะห์แสง (Optical recognition system) ช่วยให้มีการพิมพ์ข้อมูลเข้าน้อยที่สุด โดยจะอ่านข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการใช้สำแสงกวาดผ่านข้อความ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่พิมพ์ไว้ เพื่อนำไปแยกแยะรูปแบบต่อไป ในปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้ในงานต่าง ๆ กันมาก โดยมีอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยม คือ

เอ็มไอซีอาร์ (Magnetic Ink Character Recognition system)
     ปัจจุบัน มีจำนวนผู้นิยมใช้เช็คมากขึ้น จึงมีผู้คิดวิธีการตรวจสอบเช็คให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้ โดยได้ประดิษฐ์เครื่อง MIRC ขึ้นใช้ในธนาคารสำหรับตรวจสอบเช็ค โดยเครื่องจะทำการเข้ารหัสธนาคาร รหัสสาขา เลขที่บัญชี และเลขที่เช็ค ไว้ในเช็คทุกใบ จากนั้นจึงส่งเช็คนั้นให้ลูกค้า ตัวเลขที่เข้ารหัสไว้จะเรียกว่า ตัวเลข MIRC ในเช็คทุกใบจะมีเลข สีดำชัดเจนที่ด้านล่างซ้ายของเช็คเสมอ และหลังจากที่เช็คนั้นกลับมาสู่ธนาคารอีกครั้งหนึ่ง ก็จะทำการตรวจสอบจากตัวเลข MIRC ว่าเป็นเช็คของลูกค้าคนนั้นจริงหรือไม่ เครื่อง MIRC ไม่เป็นที่นิยมใช้กับงานประเภทอื่น เพราะชุดของตัวอักษรที่เก็บได้มีสัญลักษณ์เพียง 14 ตัวเท่านั้น

Chapter 4 The Components of the System Unit

 
 
Chapter 4 The Components of the System Unit
 
ตัวเครื่อง (System Unit)
 
      เป็น ส่วนที่สำคัญที่สุดของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อเปิดฝาครอบหรือเคส (Case) แล้วเราจะพบกับส่วนประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

ซีพียู (Central Processing Unit)
      หน่วยประมวลผลกลาง เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถควบคุมการทำงานทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นภายในคอมพิวเตอร์ CPU มีมากมายหลายชนิด และมีความเร็วหลาย ๆ ระดับ ในปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ 3 รายด้วยกัน

เมนบอร์ด (MainBoard)
      เมนบอร์ด เป็นแผงวงจรหลักที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น CPU, RAM, ChipSet และ การ์ดภายในต่าง ๆ โดยอุปกรณ์เหล่านั้นจะถูกติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของเมนบอร์ด โดยต้องพิจารณาเกี่ยวกับอินเตอร์เฟส (interface) และ ชิปเซ็ต ซึ่งจะสัมพันธ์กับชนิดและประเภทของ CPU เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีเมนบอร์ดแบบ ออลอินวัน (All In One) ซึ่งเป็นเมนบอร์ดที่มีราคาประหยัด โดยจะนำเอาส่วนของการ์ดแสดงผล (Vga adapter Card) การ์เสียง (Sound Card) โมเด็ม (Modem) หรืออุปกรณ์อื่น ๆ มารวมไว้บนเมนบอร์ด
- ข้อดีของเมนบอร์ดชนิดนี้ คือ มีราคาถูก มีอุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ ครบตามการใช้งาน ไม่ต้องหาซื้อเพิ่มเติม
- ข้อเสีย CPU ต้องแบ่งการทำงานมาให้อุปกรณ์เหล่านี้ด้วย ทำให้ประสิทธิภาพลดลง และหากมีอุปกรณ์บางอย่างเสียขึ้นมา

เราจะไม่สามารถเปลี่ยนเฉพาะอุปกรณ์นั้น ๆ ได้ เหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่หนักมาก

เคส (Case)
     เคส (Case) คือกล่องใส่ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้แก่ เมนบอร์ด ฮาร์ดดิสก์ ซีพียู แรม การ์ดเสียง การ์ดจอ แหล่งจ่ายไฟ เป็นต้น
 
หน่วยความจำหลัก (Main Memory )
      หน่วยความจำหลักเป็นสิ่งจำเป็น และขาดไม่ได้ หมายถึง RAM (Random Access Memory) มีหน่วยวัดเป็นเมกกะไบต์ (Mb) คอมพิวเตอร์จะใช้แรมเป็นที่สำรองข้อมูลชั่วคราว โดยข้อมูลหรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ถูกป้อนเข้ามาจะถูกเก็บอยู่ในแรมเพื่อให้คอมพิวเตอร์เรียกใช้งานได้

การ์ดแสดงผล (Video Graphic Adapter Card)
    เป็นอุปกรณ์ที่จะประมวลผลข้อมูลแล้วส่งสัญญาณไปแสดงผลที่จอภาพ ในปัจจุบัน โปรแกรมสามารถแสดงภาพทั้งสี และความเคลื่อนไหวที่มีความละเอียดสูงขึ้น ในทางปฏิบัติจึงควรใช้การ์ดแสดงผลการ์ดแสดงผลรุ่นใหม่จะเป็นแบบ 3 มิติ หรือ 3D ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานด้านกราฟิคหรือการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็ว และความละเอียดสูงได้เป็นอย่างดี การ์ดแสดงผลที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันควรมีหน่วยความจำ

ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk)
     เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บบันทึกข้อมูลที่สำคัญอย่างหนึ่ง และสามารถเก็บได้ความจุมากที่สุดในปัจจุบันนี้ถ้าจะเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์มาใช้งาน จำเป็นที่จะต้องมองหาฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุสูงที่สุด เท่าที่งบประมาณเราจะซื้อได้ เพราะโปรแกรมใช้งานเช่น Operating System ต่าง ๆ หรือไฟล์งานรุ่นใหม่ ๆ นั้น ใช้พื้นที่ในการใช้งานมากกว่าเดิม การเลือก ขนาดของฮาร์ดดิสก์จึงขึ้นอยู่กับความต้องการในการลงโปรแกรมปฏิบัติการ โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ว่าต้องการใช้โปรแกรม

ซีดีรอมไดรฟ์ (CD-ROM Drive)
     คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน มักจะมีซีดีรอมไดรฟ์ หรือดีวีดีรอมไดรฟ์ (DVD ROM) ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานอยู่แล้วทั้งนี้ เนื่องจากโปรแกรมระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ในปัจจุบันจะถูกเก็บบันทึกอยู่ในแผ่น CD-ROM เพราะแผ่น ซีดีรอม แผ่นหนึ่งสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้อย่างต่ำ 650 MB ความเร็วในการอ่านข้อมูลของ CD-ROM มีขนาดตั้งแต่ 8x ถึง 60x


การ์ดเสียง (Sound Card )
      เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถแสดงเสียงออกมาได้ โดยสามารถแสดงได้ทั้งเสียงเพลง และเสียงดนตรีที่บันทึกไว้ เครื่องคอมพิวเตอร์โดยทั่วไป จำเป็นต้องติดตั้งการ์ดเสียง มิฉะนั้น จะไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำงานทางด้านมัลติมีเดีย ตลอดจนกระทั่งเล่นเกมส์ได้ การ์ดเสียงทมีคุณภาพดีจะต้องมีการบันทึกเสียงดนตรีต่าง ๆ เอาไว้ทำให้สามารถเล่นโน๊ตเพลงได้ (Wave Table) และบางรุ่นยังมีความสามารถในการแสดงเสียงแบบ 3 มิติได้ด้วย

โมเด็ม (Modem - Modulation Demodulation)
     เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับสายโทรศัพท์ เพื่อใช้ในการรับส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์ หน้าที่สำคัญของโมเด็ม คือการแปลงสัญญาณระหว่างดิจิตอล กับ สัญญานอนาล็อก ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารผ่านทางสายโทรศัพท์ กับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลได้

Chapter 3 Application Software

Chapter 3 Application Software


ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
 
      หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนมาใช้งานเอง เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

1 User Program คือ โปรแกรมที่ผู้ใช้เขียนมาใช้เอง โดยใช้ภาษาระดับต่าง ๆ ทางคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษา BSDIC , COBOL , PSDCSL , C , ASSEMBLY FORTRAN ฯลฯ ซึ่งการที่จะเลือกใช้ภาษาใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของงานเหล่านั้น ด้วย เช่น โปรแกรมระบบบัญชี, โปแกรมควบคุมสต็อกสินค้า, โปแกรมแฟ้มทะเบียนประวัติ โปรแกรมคำนวณภาษี,โปรแกรมคิดเงินเดือน เป็นต้น

2 Package Program คือ โปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างหรือเขียนขึ้นมาโดยบริษัทต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมที่จะนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้ทันทีตัวอย่างเช่น

    1)Word Processor โปรแกรมที่ช่วยในการทำเอกสาร พิมพ์งานต่าง ๆ เช่น เวิร์ดจุฬา, เวิร์ดราชวิถี, Microsoft Word, WordPerfect, AmiPro เป็นต้น

    2)Spreadsheet โปรแกรมที่ใช้ในการคำนวณข้อมูล มีลักษณะเป็นตาราง เช่น Lotus 1-2-3, Microsoft Excel เป็นต้น

    3)Database โปรแกรมที่ใช้ในการทำงานทางด้านฐานข้อมูลจะใช้เก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่มีขนาดใหญ่ และมีข้อมูลเป็นจำนวนมาก เช่น dBASE lll Plis, Foxbase, Microsoft Access, foxpro, Visual Foxpro เป็นต้น

โปรแกรม ที่ใช้ในการทำงานทางด้านการสร้างรูปภาพและกราฟฟิกต่าง ๆ รวมทั้งงานทางด้านสิ่งพิมพ์ การทำโบรชัวร์ แผ่นพับ นามบัตร เช่น CorelDraw, Photoshop, Harvard Graphic, Freelance Graphic, PowerPoint, PageMaker เป็นต้น

จาก ข้างต้นเป็นตัวอย่างของ Package Program ที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบัน ที่จริงแล้ว Package Program สามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภทด้วยกัน สำหรับรายละเอียดของโปรแกรมแต่ละประเภทนั้น มีรายละเอียดดังนี้

1. โปรแกรมทางด้าน Word Processor
      โปรแกรมทางด้าน Word Processor นั้น เป็นโปรแกรมที่ทำงานเกี่ยวกับทางด้านการประมวลผลคำ สามารถจัดทำเอกสาร รายงาน จดหมาย หนังสือต่าง ๆ ได้ ทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ สวยงาม เนื่องจากสามารถจัดรูปแบบงานตามต้องการได้รวมทั้งยังแก้ไขงานที่ทำได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการแก้ไขงาน และสามารถค้นหาข้อความต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก

       โปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Word Processor มีดังนี้ คือ WordStat, ราชวิถีเวิร์ด เวิร์ดจุฬา โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นโปรแกรมที่ทำงานบน Dos นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมที่ทำงานบนวินโดวส์อีกด้วย คือ Word Perfect, Microsoft Word และ AmiPro โปรแกรมเหล่านี้จะใช้งานง่าย สะดวก สามารถจัดรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถนำภาพมาประกอบกับงานเอกสาร หรือนำเอกสารจากโปรแกรมอื่นมาจัดรูปแบบในโปรแกรมเหล่านี้ก็ได้

2. โปรแกรมทางด้าน Spreadsheet
       โปรแกรมทางด้าน Spreadsheet เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะเป็นกระดาษทำการขนาดใหญ่ หรือ เรียกว่า Worksheet ประกอบด้วยส่วนที่เป็น Row หรือแถวตามแนวนอนและส่วนที่เป็น Column หรือแถวตามแนวตั่ง ซึ่งใช้ในด้านการคำนวณเป็นส่วนมาก นอกจากนั้นยังมีการนำเสนอข้อมูลออกมาในรูปของกราฟโดยสร้างเป็นกราฟ 2 มิติและ 3 มิติได้อีกด้วย โปรแกรม Spreadsheet เหมาะกับการทำงานในด้านการบัญชี การเงิน การวิเคราะห์ข้อมูล หรืองานการคิดคะแนนและเกรดของนักศึกษา เป็นต้น

สำหรับ โปแกรมที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ โปรแกรม Lotus ซึ่งมีทั้งที่ทำงานบน Dos และบน Windows, โปรแกรม Microsoft Excel โปรแกรมเหล่านี้สามารถจัดรูปแบบตัวอักษรและกำหนดขนาดตัวอักษร รวมทั้งสามารถตีกรอบ สร้างตารางระบายสีลงในเซลล์ต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นยังสามารถนำรูปกราที่สร้างไว้มารวมกับข้อมูลที่อยู่ใน Worksheet เดียวกันได้ ทำให้ได้งานที่สมบูรณ์ขึ้น

3. โปรแกรมทางด้าน Database
      โปรแกรมประเภทนี้เป็นโปรแกรมที่ทำงานทางด้านการจัดการฐานข้อมูล ช่วยจัดเก็บข้อมูล แก้ไข ค้นหา เพิ่มเติม รวมทั้งการจัดเรียงข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สะดวกรวดเร็วสามารถทำงานได้เป็นระบบ โปรแกรม Database เหมาะกับการทำงานที่มีข้อมูลมาก ๆ เช่น การเก็บสต็อกสินค้าคงคลัง การเก็บประวัติพนักงาน การเก็บรายชื่อนักศึกษาในโรงเรียน การเก็บรายชื่อหนังสือในห้องสมุด เป็นต้น

โปรแกรม ที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรม dBase lll Plus ซึ่งทำงานบน Dos โปรแกรม Foxpro ซึ่งมีหน้าที่ทำงานบน Dos และบน Windows, โปรแกรม Microsoft Access และในปัจจุบันมีโปรแกรม Visual Foxpro ซึ่งเป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่ทำงานบน Windows เช่นกัน

4. โปรแกรมทางด้าน Graphic
       โปรแกรม Graphic ส่วนมากแล้วจะเกี่ยวกับทางด้านงานออกแบบ เขียนแบบวาดภาพ จัดทำสิ่งพิมพ์และจะเป็นทางด้านการนำเสนองาน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานโฆษณา ทำ Slide Show หรือนำไปใช้กับระบบ Multimedia ได้ ปัจจุบันโปรแกรมกลุ่มนี้เป็นที่นิยมมาก

5. โปรแกรมเกม ( Game)
      เป็นโปรแกรมที่แพร่หลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ และปัจจุบันนี้มีโปรแกรมเกมต่าง ๆ มากมาย ทั้งแบบธรรมดาและแบบ 3 มิติ ซึ่งที่จริงแล้วโปรแกรมเกมส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นมา เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในการทำงานแต่ละส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าเด็กจะ เล่น เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินมากกว่า ผู้ใหญ่ควรควบคุมเกมที่เด็ก ๆเล่นด้วย เพราะบางเกมเป็นลักษณะของการต่อสู้ เพื่อให้เกิดชัยชนะ ซึ่งจะทำให้เด็กสร้างนิสัยผิด ๆ กลายเป็นเด็กที่ชอบเอาชนะคนอื่นชอบการต่อสู้ และอาจเป็นคนดุร้าย เห็นแก่ตัวได้

6. โปรแกรมทางด้านการสร้างสถานการณ์จำลอง
    เป็น โปรแกรมที่ให้ผู้เล่นได้ทดลองสร้างสถานการณ์จำลองของงานที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หรืออาจจะเรียกว่า เกมส์ทางธุรกิจ โดยให้ผู้เล่นได้รู้จักวางแผนในการทำงาน คิดถึงผลกำไรขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รู้จักจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ให้ได้ผลกำไรมากที่สุด

7. โปรแกรมทางด้านการติดต่อสื่อสาร
    เป็นโปรแกรมที่มักนิยมใช้ตามสำนักงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนในการนัดหมาย ประชุม การทำจดหมายเวียนไปตามฝ่ายต่างๆ โดยการเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์แทนที่จะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ เพื่อแจ้งให้พนักงานทราบ ข้อดีของโปรแกรมชนิดนี้คือ ทำให้ประหยัดกระดาษลงไปได้มาก

8. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
      โปรแกรมประเภทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า CAI (Computer Assisted Instruction) เป็นโปรแกรมที่นำมาสอนให้กับนักเรียนในวิชาต่าง ๆ โดยที่นักเรียนจะเรียนกับโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์และครูเป็นผู้ชีแนะ ทดสอบ และวัดความเข้าใจ รวมทั้งสรุปเนื้อหาที่นักเรียนได้เรียนจากโปรแกรม CAI นี้ ปัจจุบันโปรแกรมประเภทนี้เริ่มนำเข้ามาใช้ในโรงเรียนแพร่หลายมากขึ้น เพราะทุกโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนของครูวีหนึ่ง ที่ทำให้นักเรียนไม่รู้สึกเบื่อ และสนใจการเรียนมากขึ้นด้วย


Chapter 2 The Internet and World Wide Web


 
Chapter 2 The Internet and World Wide Web

อินเทอร์เน็ต คืออะไร

      อินเทอร์เน็ต(Internet) คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้มา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย

IP (Internet protocal) Address
      คอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกันใน internet ต้องมี IP ประจำเครื่อง ซึ่ง IP นี้มีผู้รับผิดชอบคือ IANA (Internet assigned number authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ควบคุมดูแล IPV4 ทั่วโลก เป็น Public address ที่ไม่ซ้ำกันเลยในโลกใบนี้ การดูแลจะแยกออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ สำหรับทวีปเอเชียคือ APNIC (Asia pacific network information center) แต่การขอ IP address ตรง ๆ จาก APNIC ดูจะไม่เหมาะนัก เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เชื่อมต่อด้วย Router ซึ่งทำหน้าที่บอกเส้นทาง
ถ้า ท่านมีเครือข่ายของตนเองที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็ควรขอ IP address จาก ISP (Internet Service Provider) เพื่อขอเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน ISP และผู้ให้บริการก็จะคิดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อตามความเร็วที่ท่านต้องการ เรียกว่า Bandwidth เช่น 2 Mbps แต่ถ้าท่านอยู่ตามบ้าน และใช้สายโทรศัพท์พื้นฐาน ก็จะได้ความเร็วในปัจจุบันไม่เกิน 56 Kbps ซึ่งเป็น speed ของ MODEM ในปัจจุบัน

IP address คือเลข 4 ชุด หรือ 4 Byte เช่น 203.158.197.2 หรือ 202.29.78.12 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นสถาบันการศึกษาโดยทั่วไปจะได้ IP มา 1 Class C เพื่อแจกจ่ายให้กับ Host ในองค์กรได้ใช้ IP จริงได้ถึง 254 เครื่อง เช่น 203.159.197.0 ถึง 203.159.197.255 แต่ IP แรก และ IP สุดท้ายจะไม่ถูกนำมาใช้ จึงเหลือ IP ให้ใช้ได้จริงเพียง 254 หมายเลข

1 Class C หมายถึง Subnet mask เป็น 255.255.255.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 254
1 Class B หมายถึง Subnet mask เป็น 255.255.0.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 66,534
1 Class A หมายถึง Subnet mask เป็น 255.0.0.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 16,777,214

      อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนชุมชนเมืองแห่งใหม่ของโลก เป็นชุมชนของคนทั่วมุมโลกจึงมีบริการต่างๆเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลาในที่นี้จะ กล่าวถึงประโยชน์ของ อินเตอร์เน็ตหลักๆดังนี้

1.ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail เป็น การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยผู้ส่งจะต้องส่งข้อ ความไปยังที่อยู่ของผู้รับ ซึ่งเป็นที่อยู่ในรูปแบบของอีเมล์ เมื่อผู้ส่งเขียนจดหมาย1ฉบับ แล้วส่งไปยังที่อยู่นั้น ผู้รับจะได้รับจดหมายภายในเวลาไม่กี่วินาที แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสามารถส่งแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์แนบไปกับอีเมล์ได้ด้วย

2.การ ขอเข้าระบบจากระยะไกลหรือเทลเน็ต (Telnet) เป็นบริการอินเน็ตรูปแบบหนึ่งโดยที่เราสามารถเข้าไปใช้งานคอมพิวเตอร์อีก เครื่องหนึ่งที่อยู่ไกลๆได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยู่ที่โรงเรียนทำงานโดยใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนแล้วกลับไปที่บ้าน เรามีคอมพิวเตอร์ที่บ้านและต่ออินเตอร์เน็ตไว้เราสามารถเรียกข้อมูลจากที่ โรงเรียนมาทำที่บ้านได้ เสมือนกับเราทำงานที่โรงเรียนนั่นเอง

3.การ โอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol หรือ FTP) เป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่งของระบบอินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง

4.การ สืบค้นข้อมูล(Gopher,Archie,World wide Web) หมายถึง การใช้เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมายแล้วช่วยจัด เรียงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมีระบบ เป็นเมนู ทำให้เราหาข็อมูลได้ง่ายหรือสะดวกมากขึ้น

5.การ แลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น (Usenet) เป็น การให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเตอร์ เน็ตทั่วโลกสามารถพบปะกัน แสดงความคิดเห็นของตน โดยมีการจัดการผู้ใช้เป็นกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิด เห็นกันเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร์และการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันมี Usenet มากกว่า15,000 กลุ่ม นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ทุกคนจากทั่วมุมโลกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง

6.การ สื่อสารด้วยข้อความ(Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็น การพูดคุยกันระหว่างผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ไดัรับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ในเวลาเดียวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม

7.การ ซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Eletronic Commerce) เป็น การจับจ่ายซื้อ - สินค้าและบริการ เช่น ขายหนังสือ คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทใช้อินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้า ตลอด24ชั่วโมง ในปี2540 การค้าขายบนอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าสูงถึง1แสนล้านบาท และจะเพิ่มเป็น1ล้านล้านบาทในอีก5ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่ที่น่าสนใจและเปิดทางให้ทุกคนเข้ามาทำธุรกิจ ได้โดยใช้ทุรไม่มากนัก

8.การ ให้ความบันเทิง(Entertain) ใน อินเตอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด24ชั่วโมงและจากแหล่งต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ทั้งประเทศไทย อเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย เป็นต้น

Chapter 1 Introduction to Computers


Chapter 1 Introduction to Computers

คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer นิยมอ่านในภาษาไทยว่า คอม-พิ้ว-เต้อ) คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสามารถในการคำนวณอัตโนมัติตามคำสั่ง ส่วนที่ใช้ประมวลผลเรียกว่าหน่วยประมวลผล ชุดของคำสั่งที่ระบุขั้นตอนการคำนวณเรียกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นอาจเป็นได้ทั้ง ตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง หรืออยู่ในรูปอื่น ๆ อีกมากมาย
      ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลากหลาย มีทั้งขนาดที่ใหญ่มากจนต้องใช้ห้องทั้งห้องในการบรรจุ และขนาดเล็กจนวางได้บนฝ่ามือ การจัดแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถจัดแบ่งได้ตามขนาดทางกายภาพเป็นสำคัญ ซึ่งมักจะแปลผันกับประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลผล โดยขนาดคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใช้กับการคำนวณผลทางวิทยาศาสตร์ ขนาดรองลงมาเรียกว่า เมนเฟรม มักใชัในบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีการประมวลผลธุรกรรมทางธุรกิจจำนวนมากๆ สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในระดับบุคคลเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่พกพาได้เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ส่วนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถวางบนฝ่ามือได้เรียกว่า พีดีเอ อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์มีใช้กันอย่างกว้างขวางมาก ซึ่งมีอุปกรณ์หลายๆชนิดได้นำคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นกลไกหลักในการทำงาน เช่น กล้องดิจิทัล เครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือในรถยนต์เองก็มีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่วยในการตรวจสอบระบบการทำงานของ เครื่องยนต์

คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไร
        คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆเช่น ENIAC เวลาโปรแกรมต้องใช้วิธีการเปลี่ยนสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก จึงเกิดแนวคิดว่าตัวโปรแกรมน่าจะจัดเก็บอยู่ในส่วนที่สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ง่าย เป็นที่มาของแนวคิดที่ทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆรวมถึงโปรแกรมไว้ใน หน่วยความจำ หรือ memory ทำให้คอมพิวเตอร์จะได้รับคำสั่งโดยการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำ และการปรับเปลี่ยนโปรแกรมสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงค่าภายในหน่วยความจำ
        แนว คิดข้างต้นรู้จักในชื่อว่า "Stored-Program Concept" หรือ อีกชื่อว่าสถาปัตยกรรม von Neumann โดยเข้าใจว่า J. Presper Eckert และ John William Mauchly ซึ่งเป็นนักออกแบบ ENIAC เป็นผู้คิดค้นขึ้น
แนว คิดการทำงานแบบ Stored-Program ถูกใช้เป็นแนวคิดหลักของการทำงานในคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน โดยแนวคิดนี้จะแบ่งการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็น 4 ส่วนหลักได้แก่

       หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล Binary หรือที่เรียกว่า Arithmetic-Logical Unit (ALU) เปรียบเสมือนหัวใจของคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของมันคือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวก และลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่า มากกว่าหรือน้อยกว่า
       หน่วย ความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data) และ คำสั่ง (Instructions) โดยข้อมูลภายในหน่วยความจำจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆเล็กๆเท่าๆกัน แต่ละส่วนมีที่อยู่ (address) เพื่อใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเอาไว้
      อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต หรือ I/O Device เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล และเมื่อได้ผลลัพธ์ก็จะนำข้อมูลที่ได้มาแสดงผลให้โลกภายนอกคอมพิวเตอร์ได้ รับทราบ
       หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำหรือที่ได้จาก อุปกรณ์อินพุต ทำการแปลความหมายและส่งไปประมวลผลใน ALU จากนั้นนำผลที่ได้ไปจัดเก็บในหน่วยความจำหรืออุปกรณ์เอาต์พุต หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม

The Component of a Computer
1) Input Devices
2) Output Devices
3) System Unit
4) Storage Devices
5) Communications Devices

Computer Software
ซอฟแวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมชุดคำสั่งที่เขียนให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปฏิบัติตาม ซึ่งมี 2ประเภท คือ
1. ซอฟแวร์ควบคุมระบบ (System Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการจัดการทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมควบคุมเครื่อง ระบบปฏิบัติการ เช่น DOS, Windows, Os/2, Unix
2. ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ ผู้ใช้ต้องการ ได้แก่ โปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ